การทำ ธุรกิจ SME หรือการทำ ธุรกิจออนไลน์นี้ไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อนที่เคยผ่านมาแล้ว อีกทั้งยังยากที่จะเข้าถึงอีกด้วยขณะนี้การปรับตัวธุรกิจ SME ต้องมองถึง เว็บไซต์ ( website ) และ SEO อีกด้วย
นับตั้งแต่การเข้ามาของ Facebook โซเชียลมีเดียยอดนิยมที่อยู่คู่สังคมโลกมาแล้วนานกว่า 14 ปี ทุกคนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ง่ายขึ้น ธุรกิจหลายภาคส่วนหันมาลงทุนทำ การตลาดออนไลน์ บนโซเชียลมากขึ้น และยังไม่นับรวมถึงโซเชียลแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ในตลอดช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา Social Media กลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับผู้บริโภค และผู้ทำธุรกิจด้วย
SME ต้องปรับตัวอย่างไร
ทุกธุรกิจควรลงทุนกับ Digital Assets ของตัวเอง
คำว่า Digital Assets หรือสินทรัพย์ดิจิทัล อาจฟังดูยาก แต่ความหมายของมันง่ายๆ ก็คือ “สินทรัพย์ที่เป็นของเราในโลกออนไลน์” ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวก็คือ เว็บไซต์ ( website )
สาเหตุที่แบรนด์ควรลงทุนกับแพลตฟอร์มของตนเองได้แล้ว ณ ตอนนี้ เป็นเพราะว่า ราคาของสื่อออนไลน์แพงขึ้นมากในแทบทุกช่องทาง ขณะที่จำนวนผู้ใช้เติบโตน้อยมาก แถมคนเสพคอนเทนต์ก็มีตัวเลือกให้เลือกอย่างหลากหลาย การใช้เงินทุ่มลงไปบนสื่อออนไลน์อาจมี feedback กลับมาแบบไม่คุ้มกับที่เสียไป
พยายามไม่ใช้ โซเชียลหันมา SEM & SEO ทดแทน
SEM = Search Engine Marketing
SEO = Search Engine Optimization
SEM แบ่งวิธีการทำออกได้สองแบบ คือ SEO และ Google Ads โดย SEO คือการแข่งขันกันขึ้นอันดับของ Search Engine อย่าง Google เพื่อให้คนที่เสิร์ชเข้ามาเห็นเว็บไซต์ของเราก่อนเป็นอันดับแรกๆ โดยข้อมูลจาก SmartInsights ระบุว่า ในปี 2017 เว็บไซต์ที่ปรากฏเป็นอันดับแรกจากการค้นหาบน Desktopซึ่งสื่อให้เห็นว่า ผู้คนที่ค้นหา เชื่อการจัดอันดับของ Google มากพอสมควร และลิงก์ไหนที่ขึ้นเป็นอันดับแรกๆ จะมีคำตอบที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
ส่วนการทำ Google Ads คือการสร้างชุดโฆษณาขึ้นมา แล้วคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่ต้องการ จากนั้นกำหนดให้คนที่เสิร์ชด้วยคีย์เวิร์ดนี้จะเห็นโฆษณาของเรา ซึ่ง Google Ads เป็นการโฆษณาที่ทำแล้วเห็นผลได้ทันที เพราะโฆษณาของคุณจะปรากฏขึ้นในหน้า Search ของ Google เลย แต่ต้องอาศัยเทคนิค และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในการทำด้วย เพราะมีเนื้อหาที่ต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกด้วยเช่นกัน
เปรียบเทียบความคุ้มค่าในทุกช่องทางให้ดีๆ
เพจ vs เว็บไซต์ ( website )
โซเชียล vs SEM
Offline vs Online
การเปรียบเทียบสามข้อด้านบนนี้ไม่มีอันไหนดีกว่าอันไหนทั้งสิ้น เพราะมันขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจของเราเองว่าทำในช่องทางไหนแล้วจะดีที่สุด เพราะ Target ลูกค้าของธุรกิจแต่ละแบบมีพฤติกรรมการใช้งานที่แตกต่างกัน เพียงแต่ว่า เจ้าของธุรกิจจำเป็นจะต้องเลือกให้ดีว่าจะตัดสินใจใช้จ่ายงบประมาณไปในช่องทางใดมากกว่า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์กลับมาคุ้มค่าที่สุด
ถ้าสมมติ เลือกทำเพจ ไม่ทำเว็บ เพราะยังขายสินค้าได้จากหน้าเพจ ไม่ต้องลงทุนสร้างเว็บ มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ก็ถือว่าการใช้โซเชียลเป็นสิ่งดีสำหรับธุรกิจนี้ แต่ถ้า Facebook ลด Reach หรือเพิ่มค่าโฆษณาอีก ก็อาจจะต้องปรับตัวกันมากขึ้น แต่ถ้าเลือกทำเว็บ ไม่ทำเพจ จะหวังให้คนเข้ามาเห็นจากการค้น Google อย่างเดียวก็เป็นไปไม่ได้
ถ้าสมมติ เลือกลงทุนในโซเชียล ไม่ทำ SEM คนที่เห็นแบรนด์ หรือคอนเทนต์ก็จะมีแค่คนในโซเชียล แต่ถ้าทำเฉพาะ SEM ไม่มีโปรไฟล์โซเชียลเลยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะยังไงเราก็ต้องการ Traffic เข้าเว็บไซต์ผ่านตัวกลางอย่างโซเชียลอยู่ดี
จะเห็นว่า ทุกๆ ช่องทางมีความเกี่ยวเนื่องกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แพลตฟอร์มแต่ละอย่างส่งผลเกื้อหนุนกันในบางส่วน ทำให้เจ้าของแบรนด์สามารถประยุกต์ใช้ได้ตามความถนัด เพียงแต่ว่า จงอย่าผูกมัดตัวเองไว้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนดิ้นไม่หลุด
จะเห็นได้ว่า ข้อมูลที่รวบรวมมาให้ อ่านนั้น มีประโยชน์ ต่อการ ทำ เว็บไซต์ ( website ) ทั้งหมดเลย หากใครที่กำลังมองหา ทีมงานทำ SEO อยู่ แล้วก็นะ สามารถติดต่อเรามได้ตลอดเลย.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก makewebeasy