Alibaba Group Holding รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสเดือนมิถุนายนปี 2562 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 42% ซึ่งดีเกินคาดจากการรุกธุรกิจในพื้นที่ที่มีการพัฒนาน้อย เพื่อตอกย้ำว่า ธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ ( E-commerce ) รายนี้ยังแข็งแกร่งท่ามกลางบรรยากาศที่ท้าทายทางธุรกิจ จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และยังมีผู้ใช้งานผ่านมือถือจำนวน 755 ล้านคน
แดเนียล จาง ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กล่าวว่า Alibaba ( อาลีบาบา ) จะเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และจะยังคงเดินหน้าเพิ่มจำนวนฐานลูกค้า ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อให้บริษัทเติบโตต่อไป แม้จะอยู่ในสภาวะอิ่มตัวของตลาด อี-คอมเมิร์ซ ( E-commerce ) ในเมืองใหญ่ ซึ่งต่างคาดการณ์กันว่า ปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายหรือส่วนแบ่งตลาดของ Alibaba ( อาลีบาบา ) โดยตรง แต่ Alibaba กลับครองส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้นแบบไม่สะทกสะท้านเลยทีเดียว โดยปัจจุบัน Alibaba ( อาลีบาบา ) ยังคงเป็น E-commerce ใหญ่สุดอันดับ 1 รองลงมาคือ เจดีดอทคอม (JD.COM) และอันดับ 3 พินตัวตัว (Pinduoduo)
Alibaba ยักษ์ใหญ่ E-commerce ของจีน ดำเนินธุรกิจแตกต่างจาก Amazon ( อเมซอน ) ของสหรัฐ เพราะ Amazon ( อเมซอน ) เป็นห้างออนไลน์ แต่ Alibaba เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้บริษัทเล็กๆ สามารถทำร้านออนไลน์ของตัวเองได้ และ Alibaba ก็ต่างจากเจดีดอทคอม ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอีกรายของจีน เนื่องจากเจดีดอทคอมใช้โมเดลธุรกิจคล้ายๆ อเมซอน คือเป็นห้างใหญ่ในโลกออนไลน์ และเจดีดอทคอมเน้นจับมือกับหุ้นส่วนธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศต่างๆ แต่อาลีบาบาเน้นจับมือกับรัฐบาลและร่วมพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ในประเทศนั้นๆ ซึ่งปัจจุบัน เถาเป่า (Taobao) บริษัทในเครือของอาลีบาบา มีลูกค้าใหม่ที่มาจากพื้นที่ชนบทห่างไกลในสัดส่วนกว่า 70% ขณะที่จำนวนคำสั่งซื้อใน ลาซาดา (Lazada) เพิ่มขึ้นมากกว่า 100%
เป็นที่น่าสงสัยว่า การขยายฐานลูกค้าเข้าไปในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลความเจริญของอาลีบาบาช่วยให้บริษัทสามารถเอาชนะอุปสรรคสำคัญคือ ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้อย่างประสบความสำเร็จ รวมทั้งผลพวงจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อยาวนานและไม่มีทีท่าว่าจะจบลง