ยุคแห่งการสั่งซื้อของแบบออนไลน์ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น แสดงว่าคุณคือหนึ่งคนที่ใช้งานเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) อยู่ มาดูวิธีขยายธุรกิจออนไลน์ในปี 2020 อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มยอดขายกันค่ะ
E-Commerce ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หากให้อธิบายความหมายของคำนี้สามารถอธิบายได้ว่า เป็นการดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการทำธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการได้เป็นอย่างดี
หากคิดจะทำ อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) ต่อไป จะต้องมีการพัฒนาตามเทรนด์ให้ทัน วันนี้เราจึงมีเทรนด์ดีๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มยอดขายให้กับคุณในปีนี้
1. Chatbots & AI
การโต้ตอบกับลูกค้า เพื่อให้สามารถขายสินค้า หรือ ผลิตภัณฑ์ได้ เพราะจากการสำรวจความนิยมลูกค้า ลูกค้าจะชื่นชอบการสนทนาที่ดี ซึ่ง Chatbots เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งนี้ เนื่องจากสามารถคอยตอบลูกค้าได้ตลอดเวลา มีความรวดเร็ว ทันต่อความต้องการของลูกค้า และกำลังจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในอนาคตของธุรกิจออนไลน์
2. Augmented Reality (AR)
Augmented Reality (AR) หรือ ระบบเสมือนจริง เป็นหนึ่งในอนาคตของเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) และอนาคตของการเติบโตของ อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) ซึ่งจะให้ภาพตัวอย่างจริงของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้ากำลังจะซื้อ ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงของจริงบนโลกเสมือนจริง
3. Voice Search Optimization
อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) มีแนวโน้มที่จะค้นหาด้วยเสียงมากกว่าการพิมพ์ โดยค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการ เมื่อค้นหาด้วยเสียงลูกค้าคาดหวังผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับสิ่งที่พวกเขาค้นหาและหากผลิตภัณฑ์ของคุณได้รับการปรับปรุงด้วยคำหลักที่เกี่ยวข้องคุณจะได้รับการคลิก และค้นเจออย่างแน่นอน
4. Direct to Customer: D2C
Direct to Customer: D2C คือ การที่แบรนด์ตรงไปยังลูกค้าเอง เป็นการที่แบรนด์ขายสินค้าบนเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ซึ่งมีข้อได้เปรียบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ในอัตราที่เหมาะสม ปัจจุบันเว็บไซต์ที่เสนอผลิตภัณฑ์ในอัตราที่ต่ำกว่าเว็บไซต์อื่นๆ มีแนวโน้มที่จะได้รับยอดขายเพิ่มขึ้น
5. Customized Products
การที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งสินค้า หรือ ผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตัวเองในแบบที่ตัวเองชอบ ซึ่งเราควรปรับระบบให้รองรับความต้องการของลูกค้า และข้อดีอีกอย่างคือเราจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าของคุณชอบ ซึ่งต่อไปจะสามารถกำหนดเป้าหมายลูกค้าด้วยการแสดงผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันผ่านโฆษณาออนไลน์
6. Conversation with Customer
ผู้บริโภค หรือ ลูกค้า ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์หลังจากได้สนทนากับพนักงานขาย หาก อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) ทำได้ จะสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า และจะช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตบนโลกออนไลน์ได้
7. Try and Buy Feature
ลองแล้วค่อยซื้อ ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ใช้งานผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ซึ่ง อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) ส่วนใหญ่ทั่วโลก ได้ตระหนักถึงแนวโน้ม อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) นี้ เพราะอาจเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
8. Niche Store
ร้านที่เฉพาะเจาะจงสินค้านั้นๆ อาจจะดีกว่าร้าน All-in-one เพราะจะทำให้เราได้ลูกค้าที่แน่นอน การทำโฆษณาก็จะง่ายด้วย เพราะมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
9. Web Payments
การชำระเงินผ่านเว็บเป็นวิธีการที่ผู้ใช้จะต้องกรอกแบบฟอร์มการชำระเงินเพียงครั้งเดียวในขณะที่ซื้อผลิตภัณฑ์ และรายละเอียดการชำระเงินจะถูกบันทึกไว้ ไม่ต้องกรอกสิ่งนี้ซ้ำในครั้งต่อไป ลูกค้าจะรู้สึกถึงการใช้งานง่าย สร้างประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ดีกว่าเว็บไซต์อื่นๆ ก็จะได้เปรียบ และช่วยเพิ่มยอดขายได้
นี่เป็นเพียงแนวคิดและแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบน อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) เป็นการผสมผสานระหว่างการตลาดแบบเก่าและแบบใหม่เข้าด้วยกัน หากได้ลองปรับปรุงและพัฒนารับรองว่าการทำ อีคอมเมิร์ซ ( E-commerce ) จะเติบโตและสร้างยอดขายที่ดีได้อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก blog.click-end
อ่านบทความเพิ่มเติม